วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มงคลชีวิต


อย่านอนตื่นสาย
อย่าอายทำกิน
อย่าหมิ่นเงินน้อย
อย่าคอยวาสนา
อย่าเสวนาคนชั่ว
อย่ามั่วอบายมุข
อย่าสุกก่อนห่าม
อย่าพล่ามก่อนทำ
อย่ารำก่อนเพลง
อย่าข่มเหงผู้น้อย
อย่าคอยแต่ประจบ
อย่าคบแต่เศรษฐี
อย่าดีแต่ตัว
อย่าชั่วแต่คนอื่น
อย่าฝ่าฝืนกฎระเบียบ
อย่าเอาเปรียบสังคม
อย่าชมคนผิด
อย่าคิดเอาแต่ได้
อย่าใส่ร้ายคนดี
อย่ากล่าววจีมุสา
อย่านินทาพระเจ้า
อย่าขลาดเขลาเมื่อมีทุกข์
อย่าสุขจนลืมตัว
อย่าเกรงกลัวงานหนัก
อย่าพิทักษ์พาลชน
อย่าลืมตนเมื่อมั่งมี

พระในบ้านที่หลายคนมองข้าม

            ท่ามกลางความวุ่นวายของสังคมในขณะนี้ ทำให้หลายต่อหลายคนเลิกสนใจคำว่าจริยธรรม  และ ศีลธรรม  เพียงเพราะทุกคนจ้องมองไปที่คำว่า  ความอยู่รอดเท่านั้น    ข้าพเจ้าได้นำเสนอเรื่องที่ว่า   พระในบ้านที่คนมองข้าม บางคน  สังเกตได้ว่าชอบไปทำบุญ  ตามสถานที่ต่างๆ  การทำบุญเป็นเรื่องที่ดีค่ะ  แต่อยากฝากถึงทุกท่านว่า  อย่าลืมทำบุญกับพระในบ้านของเราด้วย  พระท่านเทศน์ว่า  บิดา มารดา เปรียบดังพระอรหันต์ของลูก  เรากราบไหว้พระทุกครั้ง แล้วเรากราบไหว้พ่อแม่เราหรือยังเคยได้ยินคำนี้ใช่ไหม ว่า  ลูกสิบคน พ่อแม่เลี้ยงได้  แต่ทำไม่ลูกสิบคน เลี้ยงพ่อแม่แค่สองคนไม่ได้  หากคุณ เคยดุด่า ว่ากล่าวบิดามารดา ทำให้ท่านน้ำตาไหล นั่นจะเป็นการทำบาปอย่างไม่รู้ตัวในทันที  ลูกคนนั้นจะกลายเป็นคนบาป  หากไม่สำนึกจะกลายเป็นคนทำอะไรไม่ขึ้น           
         บางคนจะบอกว่า พ่อ แม่ไม่มีเวลาให้ตนเอง เลยทำตัวเกเร เที่ยวเตร่กับเพื่อนฝูง แต่คุณรู้ไหมว่า เวลาที่ท่านทุ่มเทไปนั้น ท่านทุ่มเพื่อใคร  ทำเพื่อลูกทั้งนั้น  เพราะท่านไม่อยากเห็นลูกลำบาก  ถึงได้เร่งสร้างตัวให้มั่นคง  เพื่อที่ลูกจะสบาย ไม่ลำบากเหมือนท่านที่เคยเป็นมาก่อน  แทนที่เราจะโกรธเคืองท่าน  ข้าพเจ้าคิดว่าเรามาหาทางช่วยเหลือท่านจะดีกว่าไหม  การที่เราปฏิบัติตัวดี ตั้งใจเรียน ไม่ทำผิด  นั่นเท่ากับเป็นการสร้างกำลังให้พวกท่านเหลือจะนับ และเป็นการเอาชนะใจตนเองอีกทางหนึ่งด้วย   บางคนก็บอกว่า เพราะท่านชอบบ่น ด่า ว่าเราลองตรองให้ลึก  นึกให้ดีๆ  ท่านทำไปเพราะมีเหตุผล  ที่ท่านว่า เพราะท่านเป็นห่วงเรา  หากเพียงเราจะมองแยกย่อยลงไป จะพบคำเล็กๆ แต่ความหมายยิ่งใหญ่อยู่ในนั้น คือ  คำว่า  "  รัก"  นั่นเอง   คุณรู้ไหมว่า  ตอนที่ท่านทุกข์ใจ คือ ตอนที่ลูกมีแฟน ท่านห่วง กังวลไปสารพัดกลัวว่าคนที่มาคบกับลูกของตนนั้นจะเป็นคนไม่ดี ข้าพเจ้าว่า ยามที่เราอกหัก ไม่สมหวัง  คนที่เราต้องหันกลับมามอง  นั่นคือตัวเรา  และคนที่รักเรามากกว่าใครในโลก  คือ พ่อ และ แม่ของเรา       
      ในยามที่เราจะกำเนิดมานั้น  ท่านเจ็บปวดมากมาย สักเพียงไหน เพื่อจะให้ลูกออกมาดูโลกใบนี้ คิดดูเถอะเพียงแค่มีดบาดมือ  เรายังน้ำตาไหล  แต่ท่าน เจ็บปวดมากมายนัก  แต่ก็ยินดี  ที่เห็นลูกอันเป็นที่รักลืมตามาดูโลกใบใหม่  คนเป็นลูก  ไม่ว่าจะดีหรือร้าย  พ่อแม่ก็ยังรัก เสมอ  ท่านมีความสุขกับการเฝ้าเลี้ยงดู  เฝ้ามองการเจริญเติบโตของลูกๆ  อย่างพวกเราตลอดมา    ข้าพเจ้าปลื้มมากเมื่อดูภาพสมัยเด็ก  เห็นพ่อแม่จูบฝ่าเท้าเล็กๆของเรายังอดน้ำตาซึมไม่ได้  สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจคือ  เหตุใดเมื่อเราเดินได้ด้วยตัวเองแล้ว  เราจึงพยายามเดินจากท่านไป
           ได้โปรดอย่าลืมว่า  พ่อ แม่ ผู้ให้กำเนิดเป็นสิ่งที่จะมีเพียงคู่เดียวในโลกเท่านั้น ไม่เหมือน เพื่อน คนรัก  ที่ไม่ดีเราก็เลิกคบ แล้วหาเพื่อนใหม่ หาคนรักใหม่   วันนี้เรามีท่านอยู่เคียงข้างข้าพเจ้าอยากให้ทุกคนรัก และเอาใจใส่ท่านมากๆ  สมกับที่ท่านอดหลับอดนอนเลี้ยงเรามา เพราะหากวันใดวันหนึ่งที่เราไม่มีท่านแล้ว  เราจะหมดโอกาสทดแทนพระคุณของท่านเช่นกัน  ยังมีอีกหลายล้านคนในโลกใบนี้  ที่อยากอยู่กับ         พ่อแม่แต่ไม่มีโอกาส  หากคุณเป็นคนที่โชคดี  มีท่านอยู่พร้อมหน้าแล้ว  คุณจะปล่อยให้โอกาสดีๆเช่นนี้หลุดลอยไปหรือ    

         มีพระอาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวว่า พระนอกบ้านนั้น  เป็นศรัทธาของทุกคนอยู่แล้ว  หากวันหนึ่งเราไม่ได้ไปถวายทาน  คนอื่นเขาก็ยังไปถวายอยู่ดี  หากพระในบ้านของคุณนั้น เมื่อท่านไม่สนใจ หาอาหารการกินให้ทาน  ไม่พูดจาเสวนากับท่าน  ใครเล่าจะไปให้ความสนใจอีก  อย่ามัวเดินตามคนอื่นอยู่ อย่ามัวเดินตามความเจริญทางวัตถุที่มากกว่าจิตใจ มีบทกลอนหนึ่งที่ข้าพเจ้าท่องจนขึ้นใจ  และนำมาใช้ยามที่เราหมดกำลังใจ ไม่ว่าจากการเรียน การทำงาน
                           "พ่อแม่ไม่ มีเงินทอง มากองให้          จงตั้งใจ พากเพียร เรียนหนังสือ
                        หาวิชา ความรู้ เป็นคู่มือ                          เพื่อยึดถือ เอาไว้ ใช้เลี้ยงกาย
                       พ่อกับแม่ มี แต่ จะแก่เฒ่า                       จะเลี้ยงเจ้า เรื่อยไป นั้นอย่าหมาย
                      ใช้วิชา ช่วยตน ไปจนตาย                      ลูกสบาย แม่พ่อ ก็ชื่นใจ"

          ดังนั้น  ช่วงเวลาที่เรามีกันและกันอยู่  เราจึงต้องรักและดูแลกันให้มาก  ข้าพเจ้าไม่อยากใช้คำพูดว่า   "  ฉันน่าจะทำ.........."  แต่อยากบอกว่า "ดีแล้วที่ฉันทำหน้าที่ของตนโดยสมบูรณ์"  พอพูดถึงแม่  นั้น แม่สอนลูกได้แปลกประหลาดมาก  ตอนทานอาหารเย็น  แม่จะเปิดเทปธรรมะให้พวกเราฟัง  จนมันซึมลึกอย่างไม่รู้ตัว  มีบางครั้งที่คึกคะนอง  ท่านจะใช้คำพูดตะล่อมจนอยู่หมัด  ไม่ตี   ไม่ด่า  แต่ข้าพเจ้าก็สามารถร้องไห้ได้ทุกครั้งที่ท่านสอน ข้าพเจ้าอยากนำเสนอเรื่องราวในเชิงศีลธรรม จริยธรรม ไปสู่สายตาของทุกท่าน  เพื่อเตือนสติ  ให้ทุกครั้งที่เราจะทำสิ่งใดลงไป  ได้โปรด นึกถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังของคุณด้วย  อย่างน้อยข้าพเจ้าก็ดีใจ ที่ได้เขียนให้คนอื่นได้เห็นความดีงามของพุทธศาสนา ที่นับวันจะเลือนหายไปในสังคมเรา

พ่อแม่ก็แก่เฒ่า โดย อ. สุนทรเกต

        พ่อแม่ก็แก่เฒ่า           จำจากเจ้าอยู่ไม่นาน
จะพ้องจะพบพาน            เพียงเสี้ยววันของคืนวาร
ใจจริงไม่อยากจาก            เพราะยังอยากเห็นลูกหลาน
แต่ชีพมิทนทาน                ย่อมร้าวรานสลายไป
    

      ขอเถิดถ้าสงสาร           อย่ากล่าวขานให้ช้ำใจ
คนแก่ชะแรวัย                   คิดเผลอไผลเป็นแน่นอน
ไม่รักก็ไม่ว่า                       เพียงเมตตาช่วยอาทร
ให้กินและให้นอน            คลายทุกข์ผ่อนพอสุขใจ
  

      เมื่อยามเจ้าโกรธขึ้ง       ให้นึกถึงยามเยาว์วัย
ร้องไห้ยามป่วยไข้             ได้ใครเล่าเฝ้าปลอบโยน
เฝ้าเลี้ยงจนโตใหญ่            แม้เหนื่อยกายก็ยอมทน
หวังเพียงจะได้ยล             เติบโตจนสง่างาม
    

      ขอโทษถ้าทำผิด           ขอให้คิดทุกทุกยาม
ใจแท้มีแต่ความ                หวังติดตามช่วยอวยชัย
ต้นไม้ที่ใกล้ฝั่ง                  มีหรือหวังอยู่นานได้
วันหนึ่งคงล้มไป              ทิ้งฝั่งไว้ให้วังเวง

พูดจาภาษาไหน โดย แพร จารุ

         สถานการณ์ภาษาไทยในทุกวันนี้ได้รับความห่วงใย ว่ามีภาษาแอ๊บแบ๊ว ภาษาน่ารัก ที่มีผู้ห่วงใยกันมาก ระดับคนที่มีบทบาท ในด้านภาษาศาสตร์ออกมาพูดตักเตือน ถึงขั้นกล่าวประณาม แต่โดยส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เห็นว่าจะต้องตื่นเต้นขนาดนั้น ภาษาที่ผ่านมาและผ่านไป   เป็นกิจกรรมสนุก ๆ มากกว่า  ไม่นานก็จะมีคำใหม่ ๆ เข้ามา เป็นเรื่องที่เข้าใจได้   หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้อาจจะส่ายหัว  ทำไมคนเขียนหนังสือซึ่งเป็นคนทำงานด้านภาษาไทยโดยตรงจึงกล่าวเช่นนี้  โดยส่วนตัวแล้ว คิดว่า เป็นการปฏิเสธกัน สังคมที่อยู่ในการปฏิเสธกันมันจะมีความสุขได้อย่างไร เหมือนผู้ใหญ่คอยจับผิดเด็ก หรือคอยประมาณคนที่คิดตรงกันข้ามกับตัวเองหรือพรรคพวก อันนี้ถือว่า เป็นสังคมที่อันตรายแล้ว  เมื่อสัปดาห์   ที่ผ่านมา มีเวทีสัมมนาที่น่าสนใจ เพราะเขาพูดกันเรื่องภาษา จึงควรแก่การหยุดฟัง
         เขาพูดกันถึง คือการเรียนที่ใช้เฉพาะภาษาเดียว ใช้ภาษาราชการเป็นสื่อการเรียนการสอน ทำให้ภาษาท้องถิ่นหมดความหมายและคนรุ่นใหม่ไม่รู้จักภาษาท้องถิ่น  ฉันถามชนเผ่าที่อยู่ใกล้ ๆ ว่าเขาคิดเห็นอย่างไรในประเด็นนี้ ส่วนใหญ่พวกเขาจะตอบว่า ครูสอนภาษากลางก็ได้ แต่เด็กพูดด้วยกันเขาก็พูดภาษาถิ่นอยู่ดีแหละ แต่บางทีครูก็ไม่ให้พูด
        มีเรื่องตลกว่า ครูบอกว่าให้พูดภาษากลางให้ชัด ๆ ต่อไปใครเขาจะไม่ล้อเรา  ต่อไปทำงานในเมืองต้องใช้ภาษากลาง อันนี้เข้ากับสถานการณ์มาก คือมุ่งหวังว่า ทุกคนต้องมุ่งหาโอกาส หรือเป้าหมายในการทำงานนอกชุมชน หรือเข้ามาอยู่ในเมือง  การศึกษาที่ไล่คนออกจากถิ่น คนในเมืองแบบเรา ๆ ก็เหมือนกัน เรียนเพื่อเข้าสู่ระบบการทำงานนอกบ้านหรือ สู่โรงงาน
        ฉันคุยกับน้องชนเผ่าคนหนึ่งว่าเป็นปัญหาเดียวกันทั้งประเทศ อย่าน้อยใจเลย และเราก็คิดว่า การเรียนการสอนในระบบนั้น ใช้ภาษากลางก็ได้ แต่ไม่ถึงกับจะต้องบังคับหรือชักจูงว่า อยู่ด้วยกันกับเพื่อนเขาควรจะพูดภาษาถิ่นหรือของเขา และไม่ให้รู้สึกว่า การพูดภาษาถิ่นเป็นเรื่องน่าอาย หรือเป็นเรื่องของปมด้อย
ชนเผ่าพื้นเมืองอย่างมอแกน มอแกรน เขาก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน และออกจะรุนแรงด้วย   ครูไม่ยอมให้เด็กพูดภาษาเขาและพวกผู้ใหญ่ ๆ ก็ไม่พอใจด้วย    อย่าว่าแต่ชนเผ่าเลย ตัวเราเองเป็นคนใต้ก็ถูกล้อเลียนอยู่เสมอ มีความกดดันอยู่บ้างเป็นระยะ และมีตอบโต้ มีความพยายามที่จะพูดให้ชัด มีการฝึก แต่ต่อมาเมื่อโตขึ้น เราพบว่า เราจะฝึกไปทำไม เราแค่สื่อสารกันรู้เรื่องก็พอ
        ภาษาถิ่นถูกทำให้ไม่มีเกียรติมาระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นระยะที่ยาวมาก และคงเป็นต่อไป เรื่องนี้เข้าใจได้ และเป็นเรื่องใกล้ตัว มีการกล่าวกันว่า เพราะคนที่เข้ามารับผิดชอบในด้านนโยบายการศึกษาไม่ได้เข้าใจพื้นฐานการใช้ชีวิต ประเพณีวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่ม เช่น เวลาการเรียนที่จัดให้ไม่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของคนชนเผ่าที่ยังประกอบอาชีพ การเกษตร
        ต่อกรณีนี้ ผู้เขียนคิดว่า ไม่ใช่แค่ชนเผ่าหรอก ใคร ๆ ก็โดนกัน หากเราดูการศึกษาสมัยก่อน โรงเรียนจะหยุดวันพระเพื่อให้เด็ก ๆ ไปทำบุญกับพ่อแม่ หรือไม่ทำบุญก็ตระหนักว่าวันนี้เป็นวันสำคัญทางศาสนา เด็ก ๆ เป็นมุสลิม เขาก็ต้องมีช่วงถือศีลอด มีช่วงละหมาด หรือเรียนศาสนา แต่ในขณะที่ผู้เขียนอยู่ในจังหวัดทางภาคใต้ พบว่า ระบบในโรงเรียนไม่ได้สอนให้คนให้เกียรติในความต่าง แต่กลับให้แตกแยกแบ่งพรรคแบ่งพวก เป็นประสบการณ์ตรงที่เราพบมาตั้งแต่วัยเด็ก
        พ่อหลวง จอนิ โอ่โดเชา ปราชญ์ชนเผ่าปกาเกอญอ กล่าวว่า ระบบการศึกษาของไทย ทำให้ผู้เรียนมีความคาดหวังสูงเกินไป แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกคนอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเหมือนกัน รวมถึงระบบการศึกษาที่ผลิตคนสู่สังคมที่ใช้เรื่องอาชีพ การทำเงิน หรืออาชีพที่มีหน้ามีตา เป็นตัววัดว่า คนไหนดีไม่ดี   เป็นบทสรุปที่ น่าสนใจยิ่ง ตัวชี้วัดความดี และอาจจะพ่วงความสุขมวลรวมในการเป็นคนดี  (เก็บตก เสวนาเนื่องในงานมหกรรมชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ในหัวข้อ "การพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อการอนุรักษ์วัฒนธรรมและชาติพันธุ์" โดยมีนักวิชาการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ และพี่น้องชนเผ่าเข้าร่วมแลกเปลี่ยนเสวนา ที่สถาบันวิจัยสังคม ม..)  ( http://www.prachatai.com/column-archives/node/2794)



หัวงู โดย นางสิงห์ไฟ

         เมื่อชีวิตเข้าใกล้เลขสี่ แต่ไม่ได้เห็นชีวิต หรือใช้ชีวิตแบบคนเลขสี่ ที่เคยเห็นเป็นตัวอย่าง  มันก็เลยมีคำถามมากมาย เช่น  ทำไมยังไม่อ่านหนังสือธรรมะอีก ทำไมไม่ลงหลักปักฐานซะที ทำไมยังหลงรักคนไม่ยอมเลิกรา ฯลฯ
        เมื่อยังเด็ก เรามองคนอายุสามสิบแบบหนึ่ง สี่สิบนี่ไม่ต้องพูดถึง คุณเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเป็น  แม่คน แต่เรา        ไม่ได้เป็นแม่คน เพราะเราเลือกที่จะไม่เป็น เรายังไม่อ้วน เรามีความสุขกับการเดินทาง อ่านหนังสือ เจอผู้คนหน้าใหม่ หรือ hang out อยู่กับคนคอเดียวกันตามร้านกาแฟหรือร้านเบียร์
         สิ่งที่เป็นปัญหา อาจจะของคนอื่น ไม่ใช่เรา คงเป็นเรื่องหัวงู สมัยเป็นเด็ก รับไม่ได้เลยกับผู้ใหญ่หัวงู โดยเฉพาะผู้หญิงหัวงู พวกแม่ยก หรือกระทั่งกับสถานการณ์ที่ตัวเองถูก approach โดยผู้ชายอายุมากก็รับไม่ได้ รับไม่ได้ที่ถูกผู้ชาย   ที่หน้าตาคล้ายตาเราชวนไปกินข้าว และบอกว่าเราน่าสนใจ มันเสีย self ที่สุด
        เรื่องหัวงูเป็นประเด็นทางเพศสำหรับเราเป็นเวลาหลายปี โดยเฉพาะผู้ชายหัวงู ทำนองโคแก่กับหญ้าอ่อน แต่ก็แปลกที่เราไม่เคยคิดเลยเถิดถึงกรณีผู้หญิงหัวงูแบบนั้น เราแค่เห็นว่ามันเข้าใจไม่ได้ และมันไม่สมควรทำ แต่ไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์เชิงอำนาจ
         ตอนนี้อายุใกล้สี่สิบ พบว่าตัวเอง attracted to ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่า  ความสนใจนี้ นับวันจะเลยขอบเขตที่เราเคยอธิบายได้ คือแต่ก่อน หมายถึงเมื่อไม่นานมานี้ ที่เริ่มเห็นแบบแผน ทำความเข้าใจ และยอมรับ เราก็จะเข้าใจว่าเราสนใจ "หัว"ของเขามากกว่า คือชายหนุ่มเหล่านี้อายุน้อยกว่าเราก็จริง แต่ตราบใดที่คุยกันได้  สื่อสารกันได้ เรายอมรับนับถือกันตรงนี้  เรายอมรับกับการที่มันมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่าเรื่อง
เนื้อหนังมังสาร่างกายภายนอก เข้าทำนอง "ฉันรักหัวเขา"  แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว  เราเริ่มเห็นว่ากล้ามเนื้อของผู้ชายเป็น        สิ่งน่าสัมผัส อือ..เด็กคนนี้เซ็กซี่จังเลย มันเป็นเรื่องเนื้อหนังล้วนๆ ไม่มีหัวใจ หัวคิดเข้ามาเกี่ยวข้อง
       เรารู้สึกว่า เด็กผู้หญิงอายุสิบห้าคนนั้น ไม่เคยไปจากเราเลย เขาอยู่กับเราตลอดเวลา คอยมาล้อเลียนผู้หญิงวัยใกล้           สี่สิบเวลาที่เผลอ เธอไม่ยอมให้ผู้หญิงวัยสี่สิบมา take over ร่างกายนี้   ยิ่งไปกว่านั้น เรารู้สึกว่าร่างกายนี้เป็นบ้านของผู้หญิงหลายคนเหลือเกิน พวกหล่อนแชร์บ้านกัน บางทีก็ไม่ลงรอยกัน บางทีก็ยอมให้คนใดคนหนึ่งปกครอง แต่มัน              ไม่มีผู้ปกครองที่ชอบธรรมนะ ไม่มีใครเป็นเจ้าของบ้านอย่างแท้จริง หรือมีสิทธิขาด มันแปรไปตามสถานการณ์ สิ่งกระตุ้นและเงื่อนไขขณะหนึ่งๆของชีวิต มันสุดแสนจะสะท้อนประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม เพียงแต่ มันเป็นการชุมนุมและมีส่วนร่วมของ female selves ในตัวเรา 
          เรายังไม่แก่ซะหน่อย นาฬิกาที่ติดตัวมาแต่กำเนิดอาจจะซื่อตรงจริงที่จะบอกว่าสังขารร่วงเลยมาแล้วนะ แต่ความแก่คืออะไร คือร่างกายหรือ หรือคือสมอง หรือคือความเข้าใจโลก หรือคือความรู้สึกต่อสิ่งต่างๆ ใครเป็นคนบอกว่าคุณแก่ ขนาดนาฬิกาฉันเองมันบอก ฉันยังไม่อยากฟังเลย เพราะเรารู้ว่า นอกเหนือจากเซลล์แล้ว ชีวิตยังประกอบด้วยอื่นๆ อีกมากมาย..
       ถึงวัยนี้ เราพบว่าไม่ยากเลยที่จะเข้าใจบรรดาแม่ยกของพระเอกกรมศิลป์ หรือนักร้องลูกทุ่งบางคน ก็เด็กมันน่ารักนี่.. ( http://www.prachatai.com/column-archives/node/1367)

ชีวิตวิถีแห่งการแสวงหาความรัก โดย นาโก๊ะลี

     
             หลายครั้งที่มักจะพบว่า  ยามที่ได้เข้าไปพบเห็น  หรือเฉียดกรายเข้าไปในเหตุการณ์อันเกี่ยวเนื่องด้วยมิตรภาพ ความสัมพันธ์ที่แวดล้อมด้วยพลังของความรัก
         ในบรรยากาศแห่งความรักและมิตรไมตรีนั้น ไม่มากก็น้อย ไม่ว่าบุคคลผู้ผ่านเข้าไปพานพบนั้นจะเป็นคนที่มีพื้นฐานสันดานเยี่ยงไรก็ตาม คนผู้นั้นย่อมได้ซึมซับรับเอาบรรยากาศนั้น รู้สึกประทับใจ ซาบซึ้งตรึงอารมณ์ ดิ่งลึกดื่มด่ำความรักอันงดงามนั้น บางครั้ง ก็อดไม่ได้เมื่อบรรยากาศและความรู้สึกนั้นได้กระแทกเข้าไปถึงเบื้องลึกของหัวจิตหัวใจ จนน้ำตาหลั่งออกมาด้วยความอิ่มเอม และความจริงข้อหนึ่งก็คือเราสามารถพบบรรยากาศเช่นนี้ สนามพลังแห่งรักนี้ได้ทุกๆ วัน รอบๆ ตัวเรา บนรถเมล์ ข้างถนน ในตลาด ในโทรทัศน์ หนัง หนังสือ และสถานที่อีกมากมาย
         ชายหนุ่มคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งของเมื่อหลายปีก่อน บนรถเมล์สีส้มที่วิ่งระหว่างจังหวัดหนึ่งถึงจังหวัดหนึ่ง บ่ายของฤดูร้อนระอุอ้าว กับผู้คนที่แน่นขนัดในรถที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ บรรยากาศดูน่าเคร่งเครียด แต่ผู้คนทั้งหลายก็เก็บงำเอาไว้ ทั้งกระเป๋ารถเมล์ ทั้งผู้โดยสารต่างเงียบงัน ต่างก็อดทน เหงื่อไหลไคลย้อยด้วยกันถ้วนหน้า กระนั้น ไม่ว่ารถจะแน่นเพียงใด ก็ยังคล้ายจำเป็นที่จะต้องรับผู้โดยสารระหว่างทาง ทั้งมีผู้โดยสารที่ลงไปเป็นระยะ ระหว่างนั้นผู้โดยสารใหม่สองคนเป็นผู้เฒ่า ตา ยายขึ้นรถมา ผู้คนช่วยกันหาที่นั่งให้ยายได้แล้ว เหลือแต่ตา
         ชายหนุ่มคนหนึ่ง วางกระเป่าสะพายใบไม่ใหญ่นักลงบนฝาครอบเครื่องยนต์ที่ร้อน แล้วนั่งลงไป แล้วให้ตานั่งลงบนตัก หลายคนบนรถหันมายิ้มให้ บางคนช่วยถือของให้ตา วาระนั้นเอง ก่อเกิดพื้นที่แห่งความรัก บรรยากาศแห่งมิตรไมตรี สนามพลังแห่งมิตรภาพ อบอวลไปทั่วรถ แม้กระเป๋ารถเมล์ซึ่งน่าจะเป็นผู้ที่เคร่งเครียดที่สุด หงุดหงิดที่สุด กลับยังยิ้มแย้มช่วยเหลือผู้โดยสารที่ขึ้นและลงรถด้วยบริการอันดี   ดูเหมือนว่าการปรากฏขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยของความรัก มันได้แผ่อานุภาพพลังมหาศาลออกไป และนั่นมิใช่เพียงสายลมที่ผ่านพัด แต่มันได้ชำแรกแทรกตัวเข้าไปในหัวใจส่วนที่ดีงามของผู้คน หากจะเปรียบเอาว่า ในหัวใจส่วนที่ดีงามของผู้คนมีเมล็ดพันธุ์แห่งความรัก การปรากฏขึ้นของมิตรภาพ คือสายฝนหลั่งชโลมรดความชุ่มชื้นลงไปในผืนแผ่นดินแห่งจิตวิญญาณ เมื่อนั้นเมล็ดพันธุ์แห่งความรักที่ฝังอยู่ในไร่หัวใจส่วนที่ดีงามจึงผลิใบ แตกยอด งอกงามงดงาม และหากฝนยิ่งตกลงมาบ่อยเท่าใด ต้นรักนั้นก็ยิ่งงอกงามงดงามมากขึ้น เร็วขึ้น มั่นคงแข็งแรง แผ่กิ่งก้านออกไปอย่างทรงพลัง
            ทั้งหมดนั้นคือภาพที่บ่งบอกชัดเจนยิ่งนักว่า   มนุษย์ทั้งหลาย นอกจากการหาอยู่หากิน แสวงหาความรู้ แสวงหาความหมายของชีวิต สิ่งสำคัญยิ่งก็คือการแสวงหาความรัก  ก็แล้วทำไมเราจึงดื่มด่ำความสุข เมื่อเราเห็นความรักระหว่าง ชีวิตต่อชีวิต นั่นก็เพราะว่าไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าคนผู้นั้นผู้ใดจะมีนิสัยสันดานหยาบกร้านเหี้ยมโหด หรือเอื้อเฟื้ออ่อนโยน เมื่อเขาทั้งหลายเพียงแต่ผ่านเข้าไป มองเข้าไปในพื้นที่แห่งความรักนั้น ไม่มากก็น้อย พวกเขาทั้งหลายก็ได้รดน้ำให้เมล็ดพันธุ์แห่งความรักในหัวใจของเขาอีกครั้งแล้ว.....(http://www.prachatai.com/column-archives/node/2756)

ความงามอันเรียบง่าย โดย นาโก๊ะลี

           ฟ้าเพิ่งจะเริ่มสาง แสงที่สาดส่องส่งภาพสรรพสิ่งเป็นไปดังเช่นที่เห็นและเป็นอยู่ กาลเวลาที่เคลื่อนไปมิได้เฉื่อยช้าหรือเร่งเร็วเกินกว่าปรกติ จังหวะแห่งแสงและสีสันขณะเริ่มวันก็อาจมิมีใดแตกต่างจากวันเวลาเก่าก่อน
          เช้า สาย บ่าย ค่ำเป็นเพียงขบวนขับเคลื่อนชีวิต เป็นเช่นนี้ เช่นนั้น เช่นไหนสุดแท้แต่วิถีใคร แตกต่างหรือคล้ายว่ากันไปสุดแท้ ดูเหมือนเป้าหมายเป็นปลายทางของผู้คน ใครต่อใครมากมายที่กล่อมหัวใจคนให้คล้อยตามเป้าหมาย...เป้าหมายนั้นคืออะไร มีใครบ้างที่รู้อยู่แล้ว หรือเป้าหมายมีสิ่งใดที่น่าค้นหา หรือเป็นพื้นที่ให้ก่อเกิดเป็นสภาวะที่ดีงามพร้อมสรรพ ได้เสพสุขสุนทรียภาพอันเป็นนิรันดร์ หรือที่สุดแล้วเป้าหมายก็เป็นเพียงความฝันที่เคลื่อนผ่านคืนวัน ขณะการรับรู้หล่อหลอมจากผู้คนรอบข้าง ฝันของเจ้า ฝันของเรา หรือฝันของใคร หรือนั่นมิใช่ภาพที่ปรากฏบนความคิด ความที่ครุ่นคำนึงก่อผลเป็นความปรารถนาอันทรงค่าในทรงจำ ตอกย้ำกระทำการอันเชื่อว่าจะเกิดก่อเป็นสิ่งนี้ สิ่งใด ที่ใฝ่ถึง นั่นใยมิใช่การเดินทางแห่งจิตวิญญาณอันเบิกบานบนวิถีที่พาดผ่านระหว่างดิน ฟ้า นรก สวรรค์
           สายลมฤดูแล้งหอบเอาเม็ดดินล่องลอยขึ้นจากพื้น  เคลื่อนเข้าสู่อากาศ เม็ดดินหลายเม็ด เมื่อวางอยู่จึงเป็นพื้นดิน         แต่เม็ดดินที่พลัดถิ่น พลันได้รับนามเรียกขานใหม่ว่า ฝุ่น   แต่นั่นก็จะยืนยงคงอยู่ตามสภาพเดียวชั่วนิรันดร์กระนั้นหรือ ย่อมมิใช่ เพราะเมื่อใดที่ลมแล้งผ่านพัดพ้นไปแล้ว ไม่ช้าไม่นานเม็ดดินก็หวนคืนสู่พื้นรวมตัวกันใหม่กลายกลับมาเป็นแผ่นดินได้ดังเดิม ในลมฝน ลมหนาวบางคราวก็คล้ายได้นำพาเม็ดดินเม็ดทราย หรือบางคราวใบหญ้าใบไม้ก็หลุดลอยไปดั่งเดียวกัน กระไรเลย   ความฝันก็มิใช่เป็นดั่งเดียวกันหรอกหรือ เมื่อสายลมพัดผ่านสรรพสิงก็เคลื่อนที่ วิถีมนุษย์ก็เคลื่อนไหว วันเวลาที่ผ่านผันยังมีฝันใดที่คงเดิม สุข ทุกข์ เรื่องเล่า รุ่งเรือง ร่วงโรย เกิด ตายต่างผสานสอดคล้องในสภาพสภาวะที่เป็นไป ธรรมดา ธรรมดา คล้ายมีสิ่งหนึ่งให้ยึดมั่น แต่ก็คล้ายไม่มีใดไม่มี
          สรรพสิ่งดำรงอยู่ด้วยความงามอันเป็นปรกติอยู่แล้วโดยมิต้องแต่งแต้มเติมสิ่งใด ยิ่งแล้ว หากมีสิ่งแปลกปลอมปน นั่นไยมิใช่การทำลายความงามตามธรรมชาติ จะอย่างไรนั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ให้ครุ่นครวญ การดำรงอยู่ งาม.. ไม่งามหาใช่ภาระแห่งเราที่ต้องเข้าไปวิ่งวุ่นจัดการ นั่นคือ สาส์นที่ส่งมาจากสรวงสวรรค์ ก่อเกิดมรรคาสามัญที่สุด และยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าการสรรค์สร้างใดใดของมนุษย์
         ด้วยการสดับอย่างจริงแท้ และไร้การสงสัยใคร่อยาก เฝ้ามองจากอีกฟากของสิ่งที่แสวงหา ณ อาณาจักร และเวลาที่เหมาะควร ค่อยๆ หลอมตัวตนเข้าไปเป็นเสี้ยวส่วนอันสถิตย์อยู่นั้น ไม่จำเป็นต้องสร้างสรรค์สิ่งใดใดมาเติมแต้มลงไปให้รกเรื้อรุงรัง ณ ที่นั่น อาณาจักรอีกฟากฝั่งของฟ้า ค่ำคืนของดวงดารา แสงเจิดจ้าแห่งวัน แม้กระทั่งรอยต่อของวันและคืน ภาพทั้งมวลเคลื่อนวนเปลี่ยนแปลง มิใช่เพียงแสงที่แปรค่า ลึกแล้วล้วนทุกปรารถนาก็เคลื่อนไหวมีชีวิต
         ช่างกระไรเลย ว่ากันว่า ค่าแห่งความในบทกวีที่ชี้ชวนให้เชยชมโลก ก็หาใช่อะไรอื่น ก็เพียงการบอกเล่าของวันและคืน ฤดูกาล คำทุกคำแผ่ซ่านซาบซึมสู่หัวใจอันว่างเปล่า เปลี่ยวเหงาคละเคล้าความเบิกบานในทุกขณะ นั่นเองจึงเป็นภาวะ วาระที่ได้ก้าวเข้าไปสู่ความงาม คุณค่าที่ถูกตีค่าเป็นความฟุ่มเฟือย ไร้ประโยชน์ผลที่จะส่งเสริมความมั่งคั่งมั่นคงกับอัตตะภาวะ หรือการเสพสุขอันกักขฬะแห่งอวิชชาในหัวใจมนุษย์ ที่สุดแล้วถ้อยคำอาจมิอาจเอ่ย ยิ่งแล้วความไหนเลยจะคู่ควร
        ดอกไม้บนภูเขางดงามมากมายนัก สีสันก็สลับทับซ้อน ปะปนแทรกแซมในสุมทุมพุ่มไม้ใบบัง หรือริมลำธารใส ละอองน้ำกระเซ็นใส่พรายพร่าง กลีบดอกบอบบางนั้นสั่นไหวไปตามจังหวะ ดอกไม้งามนั้นงามแท้ แท้จริงดำรงอยู่บนรอยต่อระหว่างความตายและการกำเนิด ก่อนดอกไม้จะร่วงลง นั่นเป็นขณะที่งดงามที่สุด เติบโตเต็มดอก สดใสกว่าการแต้มสีของจิตรกร งดงามกว่าถ้อยพรรณนาของกวี และไม่กี่เพลาหลังจากนี้ กลีบดอกนั้นจะเหี่ยว แห้ง โรย ร่วง กลับสู่ธาตุเดิมแท้คือพื้นดิน กระนั้นมันก็ยังเป็นภาพอันวิจิตรบรรจง แต่งเติมเสริมส่งขับความมหัศจรรย์ วิเศษรังสรรค์เกินกว่าการสร้างสรรค์ของมนุษย์ ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เพียงเป็นไปง่ายดายนัก ... ช่างง่ายดายนัก.

หน้าที่ของส.ส.และ ส.ว.

  หน้าที่ของส.ส.
        เราเลือก ส.ส. ไปทำไม หลายคนบอกว่า  เลือกไปเพราะเป็นญาติพี่น้อง เป็นพวกพ้องกันเอาไว้ เป็นไม้กันหมา  เลือกส.ส.เพราะรับเงินเขามาแล้ว หรือถูกซื้อเสียง เลือกส.ส.ที่เสนอโครงการต่างๆ ตัดถนน ขุดบ่อน้ำ และเมื่อเลือกไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่า ส.ส.พวกนี้  จะทำได้ตามที่รับปากจริงๆ หรือไม่  แต่ส่วนใหญ่จะเป็นราคาคุย เพราะหน้าที่ของส.ส.ที่แท้จริง  ไม่ได้เป็นไปตามที่มีการหาเสียงกัน
         หน้าที่ของ ส.ส. มีดังนี้
1. ออกกฎหมาย
2. พิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี
3. ควบคุมและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล เช่นการเป็นกรรมาธิการด้านต่าง ๆ การตั้งกระทู้ถาม การอภิปรายและลงมติไม่ไว้วางใจ การยื่นญัตติ
4. การรับฟังปัญหาของประชาชนเสนอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหา
5. การคัดเลือกนายกรัฐมนตรี
 ส่วนเรื่องการ ที่ส.ส. ไปเปิดงานต่าง ๆ รับแขก แจกของ เป็นเจ้าภาพงานศพ  ถือเป็นหน้าที่นอกสภา           
 หน้าที่ของ ส.ว.  
            .ว.ถือว่า  เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ  มีหน้าที่ดังนี้
1. กลั่นกรองกฎหมาย
2. ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน โดยการเป็นกรรมาธิการด้านต่างๆ  การตั้งกระทู้ถาม   การอภิปรายทั่วไป เพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงโดยไม่มีการลงมติ
3. เลือก แต่งตั้ง ให้คำแนะนำ หรือให้ความเห็นชอบ และถอดถอนบุคคลในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ได้แก่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)   ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา,  คณะกรรมการสิทธิมนุษย์ชนแห่งชาติ,ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ,ตุลาการศาลปกครองสูงสุด, คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ,คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
4.พิจารณาและมีมติให้ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและข้าราชการระดับสูงออกจากตำแหน่ง ถ้ามีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่ากระทำผิดในการยุติธรรม หรือส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย
( http://www.naewna.com/news.asp?ID=83260)

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ประเภทของประชาธิปไตย

               ประชาธิปไตย จำแนกได้ออกเป็นหลายประเภท โดยบางประเภทให้เสรีภาพและความมีสิทธิ์มีเสียงแก่พลเมืองมากกว่ารูปแบบอื่น

ประชาธิปไตยทางตรง

ประชาธิปไตยทางตรง คือ รูปแบบการปกครองโดยที่พลเมืองสามารถมีส่วนร่วมกับการตัดสินใจ ใด ๆ ได้โดยตรงโดยไม่ต้องอาศัยคนกลางหรือผู้ทำหน้าที่แทนตน ผู้สนับสนุนประชาธิปไตยทางตรงได้โต้แย้งว่าประชาธิปไตยในปัจจุบันนั้น ควรจะให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากกว่าระเบียบการพื้นฐาน อย่าง เช่น การเลือกตั้ง
ประชาธิปไตยทางตรงนับจนถึงปัจจุบันนี้เป็นเพียงรูปแบบที่ไม่ค่อยแพร่หลายนัก เนื่องจากรูปแบบการปกครองดังกล่าวสามารถใช้ได้กับชุมชนที่มีกลุ่มคนขนาดเล็กเท่านั้น ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นนครรัฐ อย่างไรก็ตาม ประชาธิปไตยทางตรงสามารถพบเห็นได้ในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนกว่าห้าล้านคน   สามารถลงประชามติ ประมาณสองถึงสี่ครั้งต่อปี  การปกครองแบบประชาธิปไตยทางตรงยังสามารถใช้ได้กับการปกครองที่มีขอบเขตเป็นจังหวัด     แต่ทว่าไม่มีการปกครองแบบประชาธิปไตยทางตรงในระดับประเทศอีกต่อไปแล้ว

ประชาธิปไตยทางอ้อม

ประชาธิปไตยทางอ้อมเป็นการปกครองโดยที่ประชาชนมีหน้าที่เลือกผู้แทนไปทำหน้าที่แทนตนในรัฐสภา โดยการเลือกตั้งจะคัดเอาผู้ที่มีคะแนนเสียงเหนือกว่าเป็นมาตรฐานทั่วไป
ผู้แทนดังกล่าวนอกเหนือจากจะสามารถมาจากการเลือกตั้งโดยตรงแล้ว ยังอาจเข้ามาจากการสรรหาตามรัฐธรรมนูญ หรืออาจมาจากการกำหนดผู้แทนโดยพรรคการเมือง หรืออาจใช้รูปแบบผสมผสานกัน การปกครองแบบประชาธิปไตยทางอ้อมบางรูปแบบได้ดึงเอาลักษณะของประชาธิปไตยทางตรงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คือ การลงประชามติ   การปกครองแบบดังกล่าวถึงแม้ว่าประชาชนจะเลือกผู้แทนเข้าไปทำหน้าที่แทนตน   แต่ผู้แทนเหล่านั้นก็ยังคงมีอำนาจตัดสินใจของตนเอง  และเลือกวิธีการดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่  (http://th.wikipedia.org/wiki)